การทำงาน ของ กฤษฎา จ่างใจมนต์

นายกฤษฎา จ่างใจมนต์

รัฐวิสาหกิจ

หลังจากที่เรียนจบจาก คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มาทำงานอยู่ที่ การไฟฟ้านครหลวง โดยเริ่มต้นในตำแหน่งวิศวกรอยู่พักหนึ่ง แต่พบว่าการทำงานลักษณะแบบนี้ ไม่สามารถบรรลุความฝันที่อยากจะเป็นนักธุรกิจและมีธุรกิจเป็นของตัวเองได้ เพราะการจะเป็นเจ้าของธุรกิจจะต้องรู้เรื่องต่างๆอีกหลายอย่าง จึงออกจากงานไปหาประสบการณ์กับบริษัทเอกชน 2 แห่ง

ภาคเอกชน

หลังจากออกจากการไฟฟ้านครหลวง ได้มาเป็นวิศวกรควบคุมงาน ของบริษัทแห่งหนึ่ง เป็นเวลา1ปี และย้ายมา ต่อมาได้เป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายต่างประเทศของบริษัท ศรีอู่ทอง จำกัด อีก 1 ปี ก่อนออกมาทำธุรกิจของตนเองในปี พ.ศ. 2519 ด้วยเงินที่สะสมจำนวน 50,000 [km

ธุรกิจของตนเอง

พ.ศ. 2519 ก่อตั้งบริษัท โดย ทำหน้าที่ทุกอย่างเพียงคนเดียว เริ่มต้นธุรกิจโดยการเป็นผู้นำเข้าสินค้าด้านวิศวกรรม เช่น วาล์วลม วาล์วน้ำมัน ตู้ไฟฟ้า อุปกรณ์ไฮโดรลิค จากสหรัฐอเมริกา และอุปกรณ์นิวแมติค จากอังกฤษ [8]

พ.ศ. 2528 นายกฤษฎา เปลี่ยนมุมมองหันมาขายเครื่องฟอกอากาศจากสิงคโปร์ ซึ่งได้รับการตอบรับระดับหนึ่ง พอสร้างเม็ดเงินเป็นทุนหมุนเวียนให้กับธุรกิจได้บ้าง แต่ไม่นานนักเมื่อเครื่องฟอกอากาศของสิงคโปร์ได้ลดคุณภาพลง ทำให้ลูกค้าลดลงด้วย ท่านจึงคิดผลิตเครื่องฟอกอากาศเอง โดยตัดสินใจก่อตั้งโรงงานผลิตเครื่องฟอกอากาศของตนเอง ใช้ชื่อตราสินค้าว่า “AEROCLEAN” และสั่งซื้ออุปกรณ์สำหรับการผลิตจาก เยอรมนี สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ถือเป็นเครื่องฟอกอากาศมาตรฐานเยอรมนีรายแรกที่ผลิตและขายในเมืองไทย โดยคนไทยเอง แต่คุณภาพระดับโลก เพราะได้รับใบรับรองคุณภาพมาตรฐานเยอรมันจาก TÜV จนยอดขายขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของประเทศในขณะนั้น นอกจากนั้นท่านยังนำเครื่องเครื่องกรองน้ำจากอเมริกา และเครื่องผลิตน้ำแอลคาไลน์จากญี่ปุ่น เข้ามาจำหน่ายนับเป็นสินค้านำเข้าที่น่าสนใจในยุคนั้น [9]

พ.ศ. 2538 ได้ซื้อที่ดินในจ.ลพบุรี จำนวน 555 ไร่ โดยคิดที่จะนำมาพัฒนาให้เป็นศูนย์ปฏิบัติธรรม และจัดสรรแบ่งขายบางส่วน แต่ดำเนินกิจการไปได้ไม่นานก็เจอวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 ธนาคารต่างๆไม่ยอมปล่อยกู้ ท่านจึงได้ขายสินค้าต่างๆที่มีอยู่ในโกดังออกไปแบบโละสต๊อก เพื่อนำเงินมาหมุนเวียนลงทุนพัฒนาในที่ดินแปลงดังกล่าวให้แล้วเสร็จ แต่โครงการก็ไม่ได้สำเร็จตามเป้า จึงทำให้เป็นหนี้กว่า 50 ล้านบาท ซึ่งในที่สุดก็ได้โอนโรงงานผลิตเครื่องฟอกอากาศ ออฟฟิส และที่ดินในจังหวัดลพบุรี จำนวน 67 ไร่ ให้แก่ธนาคาร เพื่อลดยอดหนี้ลงจนเหลือหนี้อีกประมาณ 7 ล้านบาท หลังจากนั้น ท่านได้หันไปทำการเกษตรกับที่ดินที่เหลืออยู่ เช่น ปลูกแก้วมังกร มะปราง ลำใย ผลิตปุ๋ยสำหรับต้นไม้ ผลิตอาหารเสริมสำหรับเลี้ยงกุ้ง เป็นต้น แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จนหนี้พุ่งขึ้นไปอีกครั้งจนถึง 20 ล้านบาท

พ.ศ. 2545 เริ่มดำเนินการทำธุรกิจผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ภายใต้แบรนด์ เนเจอร์กิฟ เช่น สาหร่ายสไปรูลิน่า ในรูปแบบธุรกิจขายตรง แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ต่อมามีคนแนะนำให้ลองเปลี่ยนไปผลิตสินค้าประเภทอื่น เช่น สบู่ ยาสีฟัน หรือกาแฟ เพราะเป็นสินค้าที่ผู้บริโภคใช้กันเป็นประจำ

พ.ศ. 2546 ช่วงเดือนธันวาคม ท่านได้ผลิตกาแฟผสมวิตามิน และเกลือแร่ออกมาจำหน่าย เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยบำรุงสุขภาพ และควบคุมน้ำหนักไปพร้อมกัน เมื่อผลิตภัณฑ์ออกจำหน่ายได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างมาก เพราะทานแล้วรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายในทางที่ดีขึ้นมาก จึงเกิดกระแสของการบอกต่อๆกันของผู้บริโภค จนสินค้าขาดตลาดในบางช่วงเพราะไม่สามารถผลิตสินค้าได้เพียงพอกับความต้องการของผู้บริโภค

แหล่งที่มา

WikiPedia: กฤษฎา จ่างใจมนต์ http://www.intaniamagazine.com/ebook/intania_155/i... http://campus.sanook.com/education/scholarship/inb... http://archive.is/jFHI#selection-1269.10-1269.27 http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1... http://www.thaifstt.org/jupgrade/index.php/48--255... http://www.wfbytoday.org/?page_id=207 http://www.engsub.eng.chula.ac.th/?q=node/4646 http://www.eng.chula.ac.th/en/node/198 http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID... http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07...